วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สถานที่ท่องเที่ยว

" พระราชวังบางปะอิน "


อำเภอบางปะอิน

พระราชวังบางปะอิน, วัดนิเวศธรรมประวัติ , วัดชุมพลนิกายาราม






พระราชวังบางปะอิน

ตั้งอยู่ในอำเภอบางปะอิน ซึ่งอยู่ห่างจากเกาะเมืองมาทางทิศใต้ประมาณ 18 กม. โดยใช้เส้นทางที่แยกจากเจดีย์สามปลื้มผ่านวัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิง ไปยังบางปะอิน หากมาจากกรุงเทพฯ ตามถนนพหลโยธิน จะมีทางแยกซ้ายบริเวณกม.ที่35 ไปพระราชวังบางปะอินเป็นระยะทางอีก 6 กม. นอกจากนี้ยังมีบริการรถโดยสารจากสถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ และรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลำโพงมายังอำเภอบางปะอินทุกวัน พระราชวังบางปะอิน เปิดให้เข้าชมทุกวัน (ไม่เว้นวันหยูดราชการ) ตั้งแต่เวลา 08.30-15.30 น.อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก-นิสิต นักศึกษา (ในเครื่องแบบ)-พระภิกษุ สามเณร 20 บาท นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ 50 บาท ผู้ที่ประสงค์จะเข้าชมโปรดแต่งกายสุภาพ รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ สำนักพระราชวังบางปะอิน โทร. (035) 261044, 261549






ภายในพระราชวังบางปะอินมีสิ่งที่น่าสนใจ

พระที่นั่งไอศวรรยทิพยอาสน์
เป็นปราสาทอยู่กลางสระ สร้างในรัชกาลที่ 5 เดิมสร้างด้วยไม้ทั้งองค์ต่อมา รัชกาลที่ 6 โปรดฯให้เปลี่ยนเสาและพื้นเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหมด





พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร

อยู่ทางทิศตะวันออกตรงข้ามกับสระน้ำ เป็นพระที่นั่งเรือนไม้หมู่ทั้งชั้นบนและชั้นล่างมีเฉลียงตามแบบชาเลตของสวิส ทาสีเขียวอ่อนแก่สลับกันด้วยงานช่างที่ประณีต สิ่งประดับตกแต่งภายใน ประกอบด้วย เครื่องไม้มะฮอกกานีจัดสลับลายทองทับที่สั่งจากยุโรปทั้งสิ้น นอกนั้นเป็นสิ่งของหายากในประเทศ อันเป็นเครื่องราชบรรณาการจากหัวเมืองต่างๆ ทั่วราชอาณาเขตรอบๆ มีสวนดอกไม้สวยงาม เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรได้เกิดเพลิงไหม้ ขณะที่มีการซ่อมรักษาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ทำให้พระที่นั่งถูกทำลายไปกับกอง เพลิงหมดสิ้นทั้งองค์คงเหลือแต่หอน้ำ ปัจจุบันได้สร้างขึ้นใหม่ตามแบบเดิมทุกประการ แต่เปลี่ยนวัสดุจากไม้เป็นอาคารคอนกรีตแทน





หอวิฑูรทัศนา

เป็นพระที่นั่งหอสูงยอดมน ตั้งอยู่กลางเกาะน้อยในสวนเขตพระราชวังชั้นในระหว่างพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียรกับพระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ เป็นพระที่นั่ง 3 ชั้น มีบันไดเวียน เป็นหอส่องกล้องชมภูมิประเทศบ้านเมืองโดยรอบสร้างในรัชกาลที่5 เมื่อปี พ.ศ. 2424





พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ

ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของพระราชวังถัดจากหอวิฑูรทัศนาขึ้นไป พระที่นั่งองค์นี้มีนามเป็นภาษาจีนว่า "เทียน เม่ง เต้ย" (เทียน=เวหา, เม่ง=จำรูญ, เต้ย=พระที่นั่ง) ประชาชนทั่วไปเรียกว่า "เก๋งจีน" เพื่อเป็นพระที่นั่งสำหรับประทับ ในฤดูหนาว โดยกลุ่มพ่อค้าชาวจีนในไทยสร้างถวาย รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2432 ลักษณะเป็นพระที่นั่งศิลปะ แบบจีน ที่มีลายแกะสลักได้อย่างงดงามวิจิตรยิ่ง โถงด้านหน้าปูด้วยกระเบื้อง แบบกังไส เขียนภาพด้วยมือทุกชิ้น แม้ว่าภาพจะเหมือนกันแต่เนื่องจากเป็นงานฝีมือ จึงมีความแตกต่าง กันในรายละเอียดที่ทำให้ดูสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง ปัจจุบันเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้






พระที่นั่งวโรภาษพิมาน

เป็นท้องพระโรงอยู่ทางตอนเหนือของ "สะพานเสด็จ" ซึ่งเป็นท่าน้ำสำหรับเสด็จพระราชดำเนินขึ้นลง เดิมเป็นเรือนไม้สองชั้น เป็นที่ตั้งประทับและท้องพระโรงร่วมกัน ต่อมารัชกาลที่5 โปรดฯให้รื้อสร้างใหม่เป็นอาคารทรงวิหารกรีกแบบคอรินเธียรออร์เดอร์ ใช้เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออก ขุนนางในงานพระราชพิธี สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2419 เคยเป็นที่รับรองแขกเมืองหลายครั้ง เช่นปี พ.ศ. 2436 รับรองพระเจ้าชาร์ลคลัสแห่งประเทศรัสเซีย ปี พ.ศ. 2436 รับรองมองซิเออราวีร์ ฑูตฝรั่งเศส และปี พ.ศ. 2452 รับรองดุ๊กและดัชเชสโยฮันเบรต แห่งเมืองบรันทวีท แห่งประเทศเยอรมัน ถึงในปัจจุบัน ก็ยังใช้เป็นที่รับรองแขกเมืองสำคัญอยู่เสมอ สิ่งสำคัญในพระที่นั่งเป็นภาพชุดพระราชพงศาวดาร กับภาพเรื่องอิเหนา พระอภัยมณีและรามเกียรติ์





หอเหมมณเฑียรเทวราช

เป็นปรางค์ศิลาในเขตพระราชวังชั้นนอกริมสระใต้ต้นโพธิ์ เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างขึ้นแทนศาลเดิมที่ชาวบ้านสร้างไว้ อุทิศถวายพระเจ้าปราสาททอง กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2422





อนุสาวรีย์พระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์และเ จ้าฟ้าสามพระองค์
หรือ อนุสาวรีย์ราชานุสรณ์

ในปี พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเศร้าโศก เสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง อีกครั้งหนึ่ง ด้วยทรงสูญเสียพระอัครชายาเธอฯ พระราชโอรสและพระราชธิดาถึง 3 พระองค์ ในปีเดียวกัน คือ สมเด็จเจ้าฟ้าสิริราชกกุธภัณฑ์ เมื่อวัน พฤษภาคม พ.ศ. 2430 พระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ เมื่อวันที่ กรกฎาคม พ.ศ. 2430 สมเด็จเจ้าฟ้าพาหุรัตมณีชัย เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2430 และสมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตมดำรง เมื่อ พฤศจิกายน พ.ศ. 2430 ดังนั้นในปี พ.ศ. 2431 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ ที่ระลึกทำด้วยหินอ่อนแกะสลักพระรูปเหมือนไว้ใกล้กับ อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี


อนุสาวรีย์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (อนุสาวรีย์พระนางเรือล่ม)

ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของพระราชวัง ก่อสร้างด้วยหินอ่อนก่อเป็นแท่ง 6 เหลี่ยม สูง 3 เมตร บรรจุพระสริรังคารของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา กุมารีรัตน์พระมเหสีในพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว





วัดนิเวศธรรมประวัติ

ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านทิศใต้คนละฝั่งกับพระราชวัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง เมื่อ พ.ศ. 2421 อาคาร และการตกแต่งทำแบบ โกธิค มีกระจกสีประดับ อย่างสวยงาม ภายในเป็นแบบฝรั่ง แม้แต่ฐานที่ประดิษฐาน พระประทาน คือ พระพุทธนฤมลธรรโมภาสและพระสาวกก็ไม่ได้ทำเป็นฐานชุกชีอย่างในโบสถ์ทั่วไป แต่ทำเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนในโบสถ์คริสต์ ช่องหน้าต่างที่เจาะไว้ก็เป็นหน้าต่างโค้งที่ฝาผนังโบสถ์ด้านหน้าพระประธานจะเห็นภาพประดิษฐ์กระจกสีเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ด้านขวามือของ พระอุโบสถนั้นมีหอแห่งหนึ่ง คือ หอประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางขอฝนตรงข้ามกับหอพระคันธารราษฎร์เป็นหอประดิษฐานพระ พุทธศิลาเก่าแก่ปางนาคปรกอันเป็นพระพุทธรูปสมัยลพบุรีฝีมือช่างขอมอายุเก่าแก่นับพันปี พระนาคปรกนี้อยู่ติดกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ใหญ่ที่แผ่กิ่งไปทั่วบริเวณหน้าพระอุโบสถ ถัดไปอีกไม่ไกลนักเป็นหมู่ศิลาชนิดต่างๆ ที่มีในประเทศไทย เป็นที่บรรจุอัฐิเจ้าจอมมารดาชุ่ม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4 เจ้าจอมมารดาของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และราชสกุลดิศกุล เมื่อเข้าชมพระราชวังบางปะอินแล้ว สามารถข้ามไปชมวัดนิเวศธรรมประวัต ิได้โดยกระเช้าสำหรับส่งผู้โดยสารประมาณครั้งละ 6-8 คน ค่าโดยสารแล้วแต่บริจาค



" วัดท่าการ้อง "








วัดท่าการ้อง ต้นแบบ "สวนสวย ส้วมสะอาด"

แทบไม่อยากเชื่อว่าเมื่อเดินเข้าไปที่วัดแห่งนี้แล้ว เหมือนกับกำลังเดินอยู่ในรีสอร์ตที่ไหนสักแห่ง

เพราะที่วัดนี้ มีการตกแต่งจัดภูมิทัศน์สถานที่อย่างสวยงาม ด้วยสวนสวยที่ร่มรื่นและรูปปั้นดินเผาหลากรูปแบบ ผิดไปจากวัดทั่วๆไป สร้างความน่าสนใจให้วัดแห่งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นวัดที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร แม้เนื้อที่วัดจะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม


เมื่อเดินเข้าไปที่วัดท่าการ้อง ก่อนเข้าโบสถ์ หลวงพ่อยิ้ม จะได้ยินเสียงมัคนายกซึ่งมีดีกรีเป็นถึง ผอ.โรงเรียน ร้องเรียกเชิญชวนให้ผู้มาเที่ยววัดดื่ม น้ำเย็นที่มีไว้บริการฟรี ถ้าร้อนนักก็แจกผ้าเย็นให้ เช็ดเหงื่อไคลที่ไหลย้อย มองดูแล้วเข้าท่า เรียกว่าบริการทุกระดับประทับใจ






ผู้เป็นเจ้าของไอเดีย "สวนสวย ส้วมสะอาด ใช้ธรรมชาติผสานธรรมะ ดึงพุทธศาสนิกชนเข้าวัด" นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระครูสุทธิปัญญาโสภณ เจ้าอาวาสวัดท่าการ้อง ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นี่เอง พระครูฯได้เผยถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้วัดท่าการ้อง จากเดิมที่เป็นวัดร้าง กลายเป็นวัดยอดนิยมที่มี ผู้คนมาเที่ยวกราบไหว้พระมากแห่งหนึ่งและเป็น 1 ในโครงการไหว้พระ 9 วัด ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า หลังจากมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้ เมื่อปลายปี 2543 เห็นสภาพของวัด มีพระพำนักอยู่เพียงรูปเดียว เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ในพื้นที่ของชุมชนชาวมุสลิมและขาดการบูรณะมานาน จึงมีความคิดว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้วัดนี้เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปและให้คนมาทำบุญกราบไหว้พระที่ วัดนี้มากขึ้น


คิดไปคิดมาความคิดก็มาหยุดลงที่เรื่อง "ส้วม" เป็นอันดับแรก จึงสร้างส้วมให้ สะอาด ถูกสุขลักษณะ แถมยังติดแอร์เย็นฉ่ำ ตกแต่งประดับประดาด้วยม่านระย้าใน ห้องส้วมอย่างสวยงาม เป็นที่แปลกตาและน่าสนใจของผู้มาเที่ยว ที่สำคัญท่านเจ้าอาวาส ยังจัดห้องส้วมสำหรับบรรดา "ชายไม่จริงหญิงไม่แท้" ไว้ปลดทุกข์อีกต่างหาก






หลังจากเรื่อง "ส้วม" ประสบผลสำเร็จ เพราะผู้คนจากทุกสารทิศที่มาพบเห็น ต่างพากันกล่าวขวัญกันไปทั่วประเทศแล้ว ทำให้มีผู้ทำบุญบริจาคเงินกับ วัดมาบ้าง จึงหันมาขยายพื้นที่ออกไปอีกเล็กน้อยและพัฒนาเรื่องสิ่งแวดล้อม จัดสวนสวยด้วยไม้ดอกไม้ ประดับและไม้ยืนต้นนานาชนิด โดยออกแบบเองทั้งหมด เพราะมีความชอบและเป็นคนรักต้นไม้ สร้างความร่มรื่นให้กับวัด เป็นการใช้ธรรมชาติเป็นสื่อเข้าถึงธรรมะ จะทำให้คนที่เข้ามาวัดพบกับความสะอาดตาเย็นกายเย็นใจและที่สำคัญคนเรา ต้องอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ เพราะหากขาดธรรมชาติหรือเมื่อธรรมชาติหมดไปเมื่อใด เมื่อนั้นเราก็จะพบกับความทุกข์






ในแต่ละวันจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศแห่มาไหว้พระ ชมส้วม ดูสวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันนักขัตฤกษ์ จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แห่มาดูส้วมและสวนที่วัดแห่งนี้กันอย่างล้นหลามเลยทีเดียว สวนที่นี่ไม่ใช่จัดครั้งเดียวแล้วอยู่ไป 10 ปี แต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบย้ายโน่นจัดนี่เพิ่มนั่นกันแทบทุกเดือน เพื่อให้คนที่มาเที่ยววัด ไม่ต้องพบกับความซ้ำซากและรูปแบบเดิมๆ





นอกจากสวนสวย ส้วมสะอาด ปราศจากกลิ่นเหม็น จนกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็น "ส้วมดีเด่น" แล้ว ภายในบริเวณวัดยังมีรูปปั้นหลวงปู่โต หลวงปู่ทวด ครูบาศรีวิชัย สมเด็จพระเจ้าตากสิน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระพิฆเนศวร องค์ท้าวจตุคามรามเทพ เจ้าแม่กวนอิมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกหลายหลาก ถามไถ่ได้ความว่าเป็นเพราะคนมาวัดท่าการ้องนี้ มีจากทั่วสารทิศ เจ้าอาวาสท่านจึงจัดให้ เพื่อใครที่นับถืออะไร จะได้ถือโอกาสกราบไหว้สักการะไปทีเดียว ไม่ต้องเดินทางไปหลายที่ให้เสียเวลา หากมีเวลาให้เดินดูข้อคิดคติธรรม ที่เขียนติดไว้ตามต้นไม้ เตือนใจผู้คนทั้งหลาย




แต่ที่น่ารักและเป็นที่สะดุดตาของผู้มาที่วัดท่าการ้องแห่งนี้ ที่ใครเห็นแล้วเป็นต้องอมยิ้ม คือบรรดารูปปั้นเณรน้อยที่ยืนอุ้มบาตร อยู่หน้าโบสถ์ที่ประดิษฐานหลวงพ่อยิ้ม เพราะบรรดารูปปั้นเณรน้อยที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่นี้ พากันใส่แว่นตาทุกองค์ เมื่อถามถึงเหตุผลก็ได้รับคำตอบว่า เป็นเพราะคนสูงอายุส่วนใหญ่ที่มาที่วัดท่าการ้องนี้ เมื่อไหว้พระเสร็จแล้วก็จะลืมแว่นตากันเป็นประจำ พระในวัดจึงนำมาใส่ให้กับเณรน้อยเพื่อเป็นการเตือนใจให้คนไม่ลืมแว่น นับว่าเป็นไอเดียที่เข้าท่าและน่ารักมั่กๆ ใครเห็นเณรน้อยใส่แว่นยืนยิ้มหน้าบานนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปยืนถ่ายรูปด้วยแทบทุกคน ซึ่งเณรน้อยรูปปั้นดินเผาทั้งหมดนี้ หาได้มีวางขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปไม่ แต่เกิดจากความคิดของเจ้าอาวาสที่ออกแบบเองแล้วสั่งให้คนขายปั้นตามใจที่ ต้องการ





"ประวัติวัดท่าการ้อง"

วัดท่าการ้อง เป็นวัดโบราณมีมาแต่สมัยอยุธยา สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2092 ประมาณ 450 ปี เศษมาแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างในปี พ.ศ. ใด สันนิษฐาว่าคงเป็นวัดที่ราษฎรสร้าง เพราะไม่ปรากฏรายชื่อพระอารามหลวงสมัยอยุธยา ตามบันทึกพระราชพงศาวดาร วัดท่าการ้องมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยามากมาย

· วัดท่าการ้องได้เป็นที่ฝึกฝนศิลปะแม่ไม้มวยไทยของนักมวยไทยที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งคือ นายขนมต้ม

· ในเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน มีการบันทึกว่า ขุนไกร และสามเณรพลายแก้ว ได้มาอุปสมบทที่วัดท่าการ้อง ตอนที่ขุนแผนถูกจองจำ ณ กรุงศรีอยุธยา ณ วันอังคาร ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน เวลาบ่าย 4 โมง พม่ายิงปืนสูงวัดการ้องระดมเข้ามา ณ กรุงศรีอยุธยาแล้วเอาเพลิงจุดเชื้อที่รากกำแพงทรุดลง

· ในปี 2309 วัดท่าการ้องได้เคยเป็นที่ตั้งค่ายของพม่าค่ายหนึ่งก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา จนมีคำกล่าวว่า ".. นกกาจากวัดการ้อง บินไปเสียบอก ณ ยอดพระปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุ ใจกลางกรุงศรีอยุธยา น้ำตาหลวงพ่อโต วันพนัญเชิง ไหลนองพระเนตร อันเป็นลางบอกเหตุสิ้นแล้วแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา

· ในสมัยเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดท่าการ้อง ได้ถูกจ้ดให้เป็นโรงเรียนนายร้อยฝ่ายช่างเทคนิค รุ่น 10-12 เป็นการชั่วคราว โดยใช้ศาลาการเปรียญเป็นห้องเรียน และเป็นที่พักอาศัยก่อนที่จะถูกปล่อยทิ้งขาดการเอาใจใส่ดูแลเป็นเวลานานจนทำให้ทรุดโทรมลงในที่สุด





จุดเด่นของวัดท่าการ้อง

· เป็นวัดเก่าแก่ สมัยอยุธยา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ท่ามกลางชุมชนอิสลาม 2 หมู่บ้านคือ บ้านท่า กับ บ้านการ้อง อันเป็นวัดพุทธศาสนาที่อยู่ท่ามกลางชุมชนมุสสิม ล้อมรอบทั้งตำบล

· ประธานสมัยอยุธยาที่เก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ มีประชาชนเคารพนับถือมาก คือหลวงพ่อรัตนมงคล (หลวงพ่อยิ้ม)

· ศาลากลางเปรียญ เป็นอาคารทรงไทยไม้สัก สร้างสมัยอยุธยา

· เจ้าอาวาสปัจจุบัน : พระครูสมุห์ประยูร สุทธิปุญโญ เป็นนักพัฒนา จากวัดที่ทรุดโทรม มาเป็นวัดที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน




นอกจากสวนสวย ส้วมสะอาด ปราศจากกลิ่นเหม็น จนกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้เป็น "ส้วมดีเด่น" แล้ว ภายในบริเวณวัดยังมีรูปปั้นหลวงปู่โต หลวงปู่ทวด ครูบาศรีวิชัย สมเด็จพระเจ้าตากสิน สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระพิฆเนศวร องค์ท้าวจตุคามรามเทพ เจ้าแม่กวนอิมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกหลายหลาก ถามไถ่ได้ความว่าเป็นเพราะคนมาวัดท่าการ้องนี้ มีจากทั่วสารทิศ เจ้าอาวาสท่านจึงจัดให้ เพื่อใครที่นับถืออะไร จะได้ถือโอกาสกราบไหว้สักการะไปทีเดียว ไม่ต้องเดินทางไปหลายที่ให้เสียเวลา หากมีเวลาให้เดินดูข้อคิดคติธรรม ที่เขียนติดไว้ตามต้นไม้ เตือนใจผู้คนทั้งหลาย







ในแต่ละวันจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศแห่มาไหว้พระ ชมส้วม ดูสวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันนักขัตฤกษ์ จะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แห่มาดูส้วมและสวนที่วัดแห่งนี้กันอย่างล้นหลามเลยทีเดียว สวนที่นี่ไม่ใช่จัดครั้งเดียวแล้วอยู่ไป 10 ปี แต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบย้ายโน่นจัดนี่เพิ่มนั่นกันแทบทุกเดือน เพื่อให้คนที่มาเที่ยววัด ไม่ต้องพบกับความซ้ำซากและรูปแบบเดิมๆ





หลังจากเรื่อง "ส้วม" ประสบผลสำเร็จ เพราะผู้คนจากทุกสารทิศที่มาพบเห็น ต่างพากันกล่าวขวัญกันไปทั่วประเทศแล้ว ทำให้มีผู้ทำบุญบริจาคเงินกับ วัดมาบ้าง จึงหันมาขยายพื้นที่ออกไปอีกเล็กน้อยและพัฒนาเรื่องสิ่งแวดล้อม จัดสวนสวยด้วยไม้ดอกไม้ ประดับและไม้ยืนต้นนานาชนิด โดยออกแบบเองทั้งหมด เพราะมีความชอบและเป็นคนรักต้นไม้ สร้างความร่มรื่นให้กับวัด เป็นการใช้ธรรมชาติเป็นสื่อเข้าถึงธรรมะ จะทำให้คนที่เข้ามาวัดพบกับความสะอาดตาเย็นกายเย็นใจและที่สำคัญคนเรา ต้องอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ เพราะหากขาดธรรมชาติหรือเมื่อธรรมชาติหมดไปเมื่อใด เมื่อนั้นเราก็จะพบกับความทุกข์





คิดไปคิดมาความคิดก็มาหยุดลงที่เรื่อง "ส้วม" เป็นอันดับแรก จึงสร้างส้วมให้ สะอาด ถูกสุขลักษณะ แถมยังติดแอร์เย็นฉ่ำ ตกแต่งประดับประดาด้วยม่านระย้าใน ห้องส้วมอย่างสวยงาม เป็นที่แปลกตาและน่าสนใจของผู้มาเที่ยว ที่สำคัญท่านเจ้าอาวาส ยังจัดห้องส้วมสำหรับบรรดา "ชายไม่จริงหญิงไม่แท้" ไว้ปลดทุกข์อีกต่างหาก





ผู้เป็นเจ้าของไอเดีย "สวนสวย ส้วมสะอาด ใช้ธรรมชาติผสานธรรมะ ดึงพุทธศาสนิกชนเข้าวัด" นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพระครูสุทธิปัญญาโสภณ เจ้าอาวาสวัดท่าการ้อง ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา นี่เอง พระครูฯได้เผยถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้วัดท่าการ้อง จากเดิมที่เป็นวัดร้าง กลายเป็นวัดยอดนิยมที่มี ผู้คนมาเที่ยวกราบไหว้พระมากแห่งหนึ่งและเป็น 1 ในโครงการไหว้พระ 9 วัด ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ว่า หลังจากมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้ เมื่อปลายปี 2543 เห็นสภาพของวัด มีพระพำนักอยู่เพียงรูปเดียว เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ในพื้นที่ของชุมชนชาวมุสลิมและขาดการบูรณะมานาน จึงมีความคิดว่าจะทำอย่างไร ที่จะทำให้วัดนี้เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปและให้คนมาทำบุญกราบไหว้พระที่ วัดนี้มากขึ้น





เมื่อเดินเข้าไปที่วัดท่าการ้อง ก่อนเข้าโบสถ์ หลวงพ่อยิ้ม จะได้ยินเสียงมัคนายกซึ่งมีดีกรีเป็นถึง ผอ.โรงเรียน ร้องเรียกเชิญชวนให้ผู้มาเที่ยววัดดื่ม น้ำเย็นที่มีไว้บริการฟรี ถ้าร้อนนักก็แจกผ้าเย็นให้ เช็ดเหงื่อไคลที่ไหลย้อย มองดูแล้วเข้าท่า เรียกว่าบริการทุกระดับประทับใจ





"วัดท่าการ้อง ต้นแบบ "สวนสวย ส้วมสะอาด"

แทบไม่อยากเชื่อว่าเมื่อเดินเข้าไปที่วัดแห่งนี้แล้ว เหมือนกับกำลังเดินอยู่ในรีสอร์ตที่ไหนสักแห่ง

เพราะที่วัดนี้ มีการตกแต่งจัดภูมิทัศน์สถานที่อย่างสวยงาม ด้วยสวนสวยที่ร่มรื่นและรูปปั้นดินเผาหลากรูปแบบ ผิดไปจากวัดทั่วๆไป สร้างความน่าสนใจให้วัดแห่งนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นวัดที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร แม้เนื้อที่วัดจะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม

กีฬา

"ฝึกจุดเด่น เน้นจุดด้อย"


เมื่อนักกีฬาซ้อมเบสิคต่างๆ มาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อมีเวลาว่างให้ลองคิดดูว่าที่ผ่านมานั้น เราชอบฝึกอะไร ถนัดลูกไหน ไม่ถนัดอะไร หรือไม่อยากซ้อมอะไร เมื่อหาข้อมูลของตัวเองจนพบแล้ว ก็ลงมือฝึกซ้อมใหม่ โดยยึดหลัก...

ฝึกจุดเด่น เน้นจุดด้อย

อย่าเน้นแต่ฝึกในสิ่งที่เราชอบหรือถนัดเพียงอย่างเดียว สิ่งไหนไม่ถนัดและรู้สึกว่าไม่ชอบต้องฝึกซ้อมให้มากขึ้น มิฉะนั้นจะเป็นผลเสียต่อการเล่นปิงปองในอนาคตครับ





"โต๊ะเทเบิลเทนนิส"

1.1 พื้นหน้าด้านบนของโต๊ะเรียกว่า “พื้นผิวโต๊ะ” จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความยาว 2.74 เมตร ( 9 ฟุต) ความกว้าง 1.525 เมตร ( 5 ฟุต) และจะต้องสูงได้ระดับ โดยวัดจากพื้นที่ตั้งขึ้นมาถึงพื้นผิวโต๊ะสูง 76 เซนติเมตร ( 2 ฟุต 6 นิ้ว )
1.2 พื้นผิวโต๊ะให้รวมถึงขอบบนสุดของโต๊ะ แต่ไม่รวมถึงด้านข้างของโต๊ะที่อยู่ต่ำกว่าขอบบนสุดของโต๊ะลงมา
1.3 พื้นผิวโต๊ะอาจทำด้วยวัสดุใดๆ ก็ได้ แต่จะต้องมีความกระดอนสม่ำเสมอ เมื่อเอาลูกเทเบิลเทนนิสมาตรฐานทิ้งลงในระยะสูง 30 เซนติเมตร ลูกจะกระดอนขึ้นมาประมาณ 23 เซนติเมตร
1.4 พื้นผิวโต๊ะจะต้องเป็นสีเข้มสม่ำเสมอและเป็นสีด้านไม่สะท้อนแสง ขอบด้านบนของพื้นผิวโต๊ะทั้ง 4 ด้านจะทางด้วยสีขาว มีความกว้าง 2 เซนติเมตร เส้นของพื้นผิวโต๊ะด้านยาว 2.74 เมตรทั้งสองข้างเรียกว่า “เส้นข้าง” เส้นของพื้นผิวโต๊ะด้านกว้าง 1.525 เมตร ทั้งสองข้างเรียกว่า “เส้นสกัด”
1.5 พื้นผิวโต๊ะจะถูกแบ่งออกเป็นสองแดนเท่าๆ กัน กั้นด้วยเน็ตซึ่งขึงตั้งฉากกับพื้นผิวโต๊ะ และขนานกับเส้นสกัดโดยตลอด
1.6 สำหรับประเภทคู่ ในแต่ละแดนจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กันด้วยเส้นสีขาวขนาดกว้าง 3 มิลลิเมตร โดยขีดขนานกับเส้นข้างเรียกว่า “เส้นกลาง” และให้ถือว่าเส้นกลางนี้เป็นส่วนหนึ่งของคอร์ตด้านขวาของโต๊ะด้วย
1.7 ในการแข่งขันระดับมาตรฐานสากลโต๊ะเทเบิลเทนนิสที่ใช้สำหรับแข่งขันจะต้องเป็นยี่ห้อและชนิดที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์เทเบิลเทนนิสนานาชาติเท่านั้น และในการจัดการแข่งขันจะต้องระบุสีของโต๊ะที่จะใช้แข่งขันลงในระเบียบการแข่งขันด้วยทุกครั้ง





" สำหรับการฝึกท่าการเตรียมพร้อมมีดังนี้ "

1. ขา
ระยะห่างระหว่างขาทั้ง 2 ข้าง อย่างน้อยที่สุดควรจะห่างเท่ากับระยะห่างระหว่างไหล่ทั้ง 2 ข้างของตัวเรา ไม่ควรที่จะแคบกว่าระยะห่างของไหล่เรา เพราะจะทำให้ทรงตัวได้ไม่ดี เมื่อเคลื่อนที่จะทำให้เสียหลักได้ง่าย

2. ปลายเท้า
ปลายเท้าควรจะชี้ไปข้างหน้าตามธรรมชาติปกติของลักษณะเท้าของเรา ไม่ควรชี้ออกด้านข้างลำตัวหรือชี้เข้าหาลำตัว เพราะกีฬาปิงปองจะมีการเคลื่อนที่ในด้านข้างมากที่สุด และที่สำคัญน้ำหนักตัวของเราควรจะให้อยู่ที่บริเวณปลายเท้าตลอดเวลา ไม่ควรจะปล่อยให้น้ำหนักตักตกอยู่ที่ส้นเท้า เพราะจะทำให้เคลื่อนที่ได้ช้า

3. เข่า
ส่วนเข่า ควรจะย่อลงเล็กน้อยพอสมควร ห้ามตึง เพราะจะทำให้การเคลื่อนที่ไม่สะดวก และไม่มีแรงส่งเมื่อต้องก้าวเท้าในระยะทางไกลๆ

4. ลำตัว
ลำตัวควรเอียงไปด้านหน้า เพื่อให้สมดุลกับน้ำหนักที่ลงที่ปลายเท้าและหัวเข่า

5. มือ
มือที่ถือไม้ปิงปองควรจะอยู่ที่กลางลำตัว ปลายไม้ชี้ไปข้างหน้า และพร้อมที่จะใช้ทั้ง 2 ด้านตีลูก หากคู่ต่อสู้ตีมาด้านใดก็ตาม

6. ตา
สายตามองที่หน้าไม้ของผู้ต่อสู้ , ทิศทางการเคลื่อนที่ของผู้ต่อสู้ และมองลูกตั้งแต่ออกจากหน้าไม้ของคู่ต่อสู้จนมากระทบหน้าไม้ของเรา ตลอดเวลา





สำหรับนักกีฬาที่ถนัดมือขวา ตำแหน่งที่ยืน ควรจะยืนอยู่ที่มุมด้าน BACK HAND ของตนเอง และนักกีฬาที่ถนัดมือซ้าย ตำแหน่งที่ยืนควรจะยืนที่อยู่มุมด้าน BACK HAND ของตนเอง






"ท่าเตรียมพร้อมในการเล่นปิงปอง"

ก่อนรับลูกเสริฟทุกครั้ง หรือก่อนจะตีลูกใดๆ ก็ตาม นักกีฬาจะต้องเตรียมท่าทางของตนเองให้พร้อมก่อนที่จะเล่นทุกครั้ง เพราะหากเรารักษาท่าทางก่อนเล่นได้ดีและถูกต้อง จะช่วยให้เราตีลูกต่างๆ ที่กำลังจะตีนั้น ได้ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เมื่อตีลูกไปแล้ว นักกีฬาจะต้องกลับมายังท่าเตรียมพร้อมเพื่อจะตีลูกต่อไปทุกๆ ครั้ง










2. การจับไม้แบบจับปากกา หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จับแบบไม้จีน” CHINESE STYLE

การจับไม้แบบนี้จะเป็นที่นิยมกันมากในนักกีฬาแถบทวีปเอเซียของเรา ได้แก่ จีน , ญี่ปุ่น , เกาหลี สำหรับนักกีฬาที่ใช้วิธีการจับไม้แบบนี้จะถนัดในการเล่นด้านโฟร์แฮนด์ได้ดีเป็นพิเศษ อีกทั้งจะต้องมีการเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ซึ่งชาวเอเซียเราส่วนใหญ่ตัวเล็กและเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว การจับไม้แบบไม้จีน จึงเป็นที่นิยมกันแถบเอเซีย สำหรับในยุโรปแล้วมีนักกีฬาที่ใช้วิธีการจับไม้แบบนี้กันน้อยมาก เพราะนักกีฬายุโรปมักจะเคลื่อนที่ได้ช้า และการจับไม้แบบไม้จีนจะมีจุดอ่อนอยู่ที่ด้าน Back hand เพราะไม่สามารถเล่นลูก TOP SPIN ได้สะดวก แต่ปัจจุบันนี้ประเทศจีนได้คิดค้นวิธีการตีแบบใหม่ ซึ่งทำให้วิธีการจับไม้แบบไม้จีนมียุทธวิธีในการตีลูกได้รุนแรงและหลากหลายมากยิ่งขึ้น คือการใช้ด้านหลังมือตี ซึ่งอดีตที่ผ่านมาด้านนี้จะไม่ค่อยได้ใช้ในการตีลูก นักกีฬาจีนยุคใหม่จะถนัดในการเล่นลูกหลังมือนี้มากขึ้น เพราะสามารถเล่นได้ลูก TOP SPIN และ ลูกตบได้ดีอีกด้วย นับเป็นอาวุธใหม่สำหรับนักกีฬาจีนไว้ปราบนักกีฬาที่จับไม้แบบสากลโดยเฉพาะ





"การจับไม้ปิงปอง"

วิธีการจับไม้ปิงปอง

การจับไม้ปิงปองโดยทั่วไปจะมีวิธีการจับแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

1. การจับไม้แบบสากล SHAKE HAND

การจับไม้ปิงปองวิธีนี้เป็นที่นิยมกันทั่วโลก มีวิธีการจับไม้ที่คล้ายกับการจับมือทักทายกันของชาวยุโรป สำหรับการจับไม้แบบนี้จะเหมาะสำหรับนักกีฬาที่ถนัดทั้งในการเล่นด้านโฟร์แฮนด์ Fore hand (หน้ามือ) และ ด้านแบ๊คแฮนด์ Back hand (หลังมือ) การจับไม้แบบสากลนี้จะเหมาะสำหรับการเล่นลูกต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะลูก TOP SPIN , BACK SPIN , SIDE SPIN ซึ่งการตีลูกต่างๆ นั้นจะไม่ฝืนธรรมชาติเหมือนกับการจับไม้แบบไม้จีน แต่การจับไม้แบบนี้มักจะมีจุดอ่อนอยู่ที่กลางลำตัวเพราะเมื่อคู่ต่อสู้ตีเข้ากลางตัว หากเพราะหากฝึกมาไม่ดีจะทำให้ตัดสินใจได้ยากว่าจะใช้ด้านใดในการตีลูก





ลักษณะท่าทางในการเล่นๆ ๆๆ





"สิ่งที่ต้องฝึกในกีฬาปิงปอง"


ดังที่เราได้ทราบถึงลักษณะธรรมชาติทั่วไปของกีฬาปิงปองมาแล้วนั้นจึงพอจะสรุปสิ่งที่เราจะต้องฝึกฝนในการเล่นกีฬาปิงปองให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประสิทธิภาพที่จะต้องฝึกฝน มีดังต่อไปนี้

1. ความหมุน 2. ความเร็ว 3. ความแน่นอน 4. ความต่อเนื่อง

คำอธิบายเพิ่มเติม

1. ความหมุน คือ การฝึกตีลูกปิงปองให้เกินความหมุนแบบต่างๆ ซึ่งจะต้องฝึกฝนและเรียนรู้ความหมุนที่มีอยู่ทั้งหมดให้ครบถ้วน โดยฝึกตีให้ได้ทั้งความหมุนที่มากที่สุด จนถึงสามารถฝึกตีลูกให้หมุนน้อยๆ ก็ได้ด้วย

2. ความเร็ว คือ การฝึกตีลูกปิงปองให้เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วสูง และ การฝึกการเคลื่อนไหวของร่างกายที่รวดเร็ว รวมถึงการฝึกการคิดและการตัดสินใจที่ต้องรวดเร็วอีกด้วย

3. ความแน่นอน คือ การฝึกตีลูกปิงปองไปยังตำแหน่งต่างๆ บนโต๊ะของผู้ต่อสู้ที่ทุกจุดและแม่นยำ

4. ความต่อเนื่อง คือ การฝึกตีลูกปิงปองไปมาให้ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะตีมารูปแบบใด เราจะต้องตีลูกปิงปองกลับไปให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา






"ประโยชน์ของกีฬาปิงปอง"

กีฬาเทเบิลเทนนิส หรือ ปิงปอง ที่เรารู้จักกันนั้น ถือเป็นกีฬาที่มีความยากในการเล่น เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เนื่องจากธรรมชาติของกีฬาประเภทนี้นั้น ถูกจำกัดให้ตีลูกปิงปองลงบนโต๊ะของคู่ต่อสู้ ซึ่งพื้นที่บนฝั่งตรงข้ามมีเพียง พื้นที่ แค่ 4.5 ฟุต X 5 ฟุตเท่านั้น และลูกปิงปองยังมีความเบามาก เพียง 2.7 กรัม เท่านั้น และความเร็วในการเคลื่อนที่จากฝั่งหนึ่ง ไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ยังใช้เวลาไม่ถึง 1 วินาทีอีกต่างหาก แถมลูกปิงปองที่ลอยอยู่ในอากาศนั้น ยังมีความหมุนรอบตัวเองอีกด้วย ซึ่งลูกปิงปองที่กำลังเคลื่อนที่มาหาเรานั้น เราจะต้องตีกลับไปอีกด้วย เพราะไม่ตี หรือ ตีไม่ได้ ก็หมายถึงการเสียคะแนนทันที

แต่ในความยากนั้น ก็ย่อมมีประโยชน์สำหรับผู้เล่นเหมือนกัน เพราะ เป็นกีฬาที่ต้องใช้ทุกส่วนของร่างกายร่วมกันทั้งหมด





ซึ่งส่วนต่างๆ ที่ต้องใช้ มีดังนี้

1. สายตา
สายตาจะต้องจ้องมองลูกอยู่ตลอดเวลา แต่การจ้องลูกอย่างเดียวก็ยังไม่เพียงพอ เพราะจะต้องจ้องมองและสังเกตหน้าไม้ของคู่ต่อสู้อีกด้วยว่า ตีลูกความหมุนลักษณะใดมาหาเรา

2. สมอง
ปิงปอง เป็นกีฬาที่ต้องใช้สมองในการคิดเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องคิดอยู่ตลอดเวลา รวมถึงต้องวางแผนการเล่นอีกด้วย

3. มือ
มือที่ใช้จับไม้ปิงปอง จะต้องคล่องแคล่วและว่องไว รวมถึงต้องรู้สึกได้เมื่อลูกปิงปองสัมผัสถูกหน้าไม้

4. ข้อมือ
ในการตีบางลักษณะ จำเป็นต้องใช้ข้อมือเข้าช่วย ลูกจึงจะมีความหมุนมากยิ่งขึ้น

5. แขน
ต้องมีพลกำลังและมีความอดทนในการฝึกซ้อมที่ต้องซ้อมแบบซ้ำและซ้ำอีก

6. ลำตัว
การตีลูกปิงปองในบางจังหวะ ต้องใช้ลำตัวเข้าช่วย

7. ต้นขา
แน่นอนว่าเมื่อกีฬาปิงปองเป็นกีฬาที่มีความเร็วสูง ต้นขาจึงต้องแข็งแรง และเตรียมพร้อมในการเคลื่อนที่ตลอดเวลา

8. หัวเข่า
ต้องย่อเข่า เพื่อเตรียมพร้อมในการเคลื่อนที่

9. เท้า
ต้องเคลื่อนที่เข้าหาลูกปิงปองตลอดเวลา หากเท้าไม่เคลื่อนที่เข้าหาลูกปิงปอง ก็จะทำให้ไม่มีฟุตเวิร์ด และตามตีลูกปิงปองไม่ทัน

จะเห็นได้ว่า กีฬาเทเบิลเทนนิสจะใช้ทุกส่วนของร่างกายในการเล่น เนื่องจากเป็นกีฬาที่มีความรวดเร็วนั่นเอง และยังไม่รวมถึงจิตใจที่จะต้องมีความเข้มแข็ง อดทน ทั้งในการฝึกซ้อม และ จิตใจที่จะต้องเป็นนักสู้เมื่อลงทำการแข่งขัน เพราะเป็นกีฬาประเภทบุคคลที่จะต้องพึ่งความสามารถของตนเองมากกว่าที่จะต้องอาศัยเพื่อนร่วมทีม ดังเช่นกับกีฬาประเภททีมอื่นๆ






"ประวัติกีฬาปิงปอง "

ประวัติกีฬาเทเบิลเทนนิส หรือ ปิงปอง
จากการศึกษาประวัติยังม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้นกีฬาชนิดนี้ขึ้นมา และไม่ทราบว่าต้นกำเนิดนั้นมาจากประเทศใด เพราะมี หลายประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา อินเดีย และแอฟริกาใต้ ก็อ้างว่ามาจากประเทศเหล่านี้ แต่ส่วนใหญ่ยอมรับว่า เริ่มขึ้นครั้งแรกใน ประเทศอังกฤษ เพราะมีหลักฐานว่าทหารอังกฤษที่ประจำอยู่ในประเทศ อินเดียและแอฟริกาใต้ นำมาเล่นกัน และอีกหลักฐานหนึ่งคือ เคยเป็นกีฬาประจำราชสำนักอังกฤษในสมัยศตวรรษที่ 12 เนื่องจากเทเบิลเทนนิส เป็นกีฬาที่มี กฎเกณฑ์น้อย ใช้อุปกรณ์ที่หาง่าย ราคาถูก และเล่นง่ายจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากคนทุกระดับ ในประเทศอังกฤษสมัย พระเจ้ายอร์จที่ 6 ถึงกับทรงโปรดให้ตั้งโต๊ะเทเบิลเทนนิสขึ้นในพระราชวังบัคกิ้งแฮม และในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทรงจัด กีฬาเทเบิลเทนนิสนี้ไว้ให้พระธิดา (เจ้าฟ้าหญิงอลิซาเบธ) ได้ทรงเล่นเป็นที่สนุกสนานในพระราชวังบัลมอรอล นอกจากนี้ พระเจ้าซาร์แห่งเปอร์เซียบัณฑิตเนรูห์แห่งอินเดียและกษัตริย์ฟาร์คแห่งอิยิปต์ในอดีตต่างก็ทรงส่งเสริมกีฬาเทเบิลเทนนิส กันทั้งสิ้น
จากหนังสือประวัติก๊ฬาของ Frank Menke ได้ให้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกำเนิดของเทเบิลเทนนิสไว้ 2 ประการ คือ 1. อาจเป็นกีฬาในร่มของเทนนิสซึ่งได้เริ่มเล่นเป็นครั้งแรกในมลรัฐแมสซาชูเซ็ต ประมาณปี ค.ศ. 1890 2. สันนิษฐานว่านายทหารชาวอังกฤษซึ่งไปประจำอยู่ที่ประเทศอินเดียได้เคยเล่นกีฬาเทเบิลเทนนิสเป็นกีฬากลางแจ้งมาก่อน และอีก ความเห็นหนึ่งคือ เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ และบ้างก็ว่าเกิดขึ้นในประเทศจีน

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ความรัก




" เกร็ดความรู้ ๆ ๆ "
เมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลายๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์







" ของขวัญวันวาเลนไทด์ "
กุหลาบ

จะกี่ยุคกี่สมัย "ดอกกุหลาบ" ก็ยังครองแชมป์ของขวัญยอดฮิตวันวาเลนไทน์ โดยเฉพาะ "กุหลาบสีแดง" สาวคนไหนได้รับ มีแต่จะยิ้มแก้มปริ และยอมเปิดหัวใจให้หนุ่มๆ เข้ามานอนกลิ้งเกลือกไม่โยเย!! ถ้าเป็นหนุ่มจริงใจ...รักจริงหวังแต่ง ไม่เจ้าชู้ มักจะเลือก "กุหลาบสีขาว" แทนคำบอกรัก สื่อถึงความบริสุทธิ์และจริงใจสุดๆ






" สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ "
เทพเจ้าคิวปิด ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักดั้งเดิมของชาวโรมันในรูปเด็กทารกติดปีก กำลังโก่งคันศรทองเล็งไปยัง หัวใจของผู้คน ตามตำนานของกรีกและโรมันพูดถึงคิวปิดว่า เป็นบุตรของมาร์ (เทพเจ้าของสงคราม) และ วีนัส (เทพเจ้าแห่งความรักและความงาม)




" นิยาม "

คุณควรจะมีความรัก ความเมตตา ความปรานี ชีวิตของคุณจะสดใสดังกุหลาบแรกแย้มที่ต้องน้ำค้างของวันใหม่ทีเดียว

วันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ 2550 นี้ เป็นวันที่จะมอบความรัก ความเมตตาให้แก่กันและกันหรือยัง เป็นความรักที่บริสุทธิ์จากใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ระหว่างพ่อ แม่ ลูก เพื่อนกับเพื่อน ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ
มิใช่เพียงการสื่อความหมายในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว






" ประวัติ วันวาเลนไทน์ "
วันวาเลนไทน์ (Valentine'sDay) วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่รู้จักกันว่า วันแห่งความรัก ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ มอบของขวัญวาเลนไทน์ หรือพาคนรักไปท่องเที่ยวในสถานที่โรแมนติก ซึ่งต่อมาวันวาเลนไทน์ ก็ได้นิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปและอเมริกา และเข้ามาในทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย

วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เมื่อประเพณีความรักแบบช่างเอาใจ (courtly love) แผ่ขยายก่อนคริสตศักราช 269 ปี

ในสมัยนั้นเขาไม่นิยมให้แต่งงานกันในโบสถ์ แต่เซนต์วาเลนไทน์กลับให้คนภายนอกเข้ามาแต่งงานได้ซึ่งประเพณีรักแบบนี้มักจะถูกต่อต้าน แต่เซนต์วาเลนไทน์กลับให้คนรักกันแบบนี้ได้ จากนั้นเซนต์วาเลนไทน์ถูกพวกโรมันจับตัวส่งไปขังและเขาก็ได้พบรักกับสาวตาบอดในคุก เมื่อฝ่ายที่ว่ามานี้รู้ข่าวเข้าจึงนำเซนต์วาเลนไทน์ไปประหารวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันนี้จึงเป็นวันวาเลนไทน์นั่นเอง









"กลอนรัก "


เก็บรักฝากดวงดาวนับร้อย
อยู่ทางนี้เพื่อรอคอยให้เธดเห็น
ทำไปด้วยหัวใจ...ใช่จำเป็น
แม้จะรู้ว่าเธอไม่เห็น..ก็เต็มใจ
สักวันเธอคงรู้.......
ขอแค่ได้เฝ้ามองดูอยู่ไกลใกล้
คงไม่เป็นแสงตะวันส่องนำใจ
ขอเป็นเพียงลมพัดไหว....ใกล้ๆเธอ

ฉันยังคงอยู่ที่นี่ตรงนี้หนา
มีท้องฟ้าสีครามงามสดใส
มีทะเลเวิ้งว้างและกว้างไกล
มีดอกไม้จากใจมอบให้เธอ
ขอเป็นดังแสงตะวันอันอบอุ่น
ไล้ละมุนยามเธอหนาวราวเสนอ
ขอเป็นสายน้ำเย็นชะโลมเธอ
เมื่อรุ่มร้อนนอนละเมอด้วยทุกข์ทน


ความรักของฉันคงเหมือนสายฝน
ที่หรั่งรินรดใจใครก็ดูจะจางหาย
ฝนตกเพียงชุ่มฉ่ำชั่วพริบตาก็มลาย
สุดท้ายความรักที่มีให้ไป...
ก็เหือดหายไปพร้อมกับหยดน้ำที่แห้งลง
อยากให้หัวใจของคนที่ฉันรัก
มีค่ามากมายนักดั่งเช่นต้นไม้
แม้ฝนจะไม่ชุ่มฉ่ำหรั่งรินรดใจ
มันก็พร้อมจะเจริญเติบโตกว้างใหญ่
ไปพร้อมกับหัวใจที่ยิ่งใหญ่อย่างมั่นคง

การแสดงความรักด้วยวิธีต่าง ๆ กลอนก็ถือเป็นอีกวิธีที่เหมาะกับการแสดงความรักในโอกาสต่างๆ





ความรัก คืออะไร ?

ความรัก คือ การให้ ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง กับคนที่เรารัก

ความรัก คือ ความเกลียด เกลียดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มายุ่งกับคนที่เรารัก

ความรัก คือ ความกลัว กลัวที่จะเป็นทุกข์ เพราะคนรัก

ความรัก คือ ความอยาก อยากที่จะให้คนรัก รักเราเหมือนกับที่เรารักเค้า

ความรัก คือ สิ่งที่ทำให้โลก สดใสสวยงาม บางครั้ง รักก็ ทำให้โลก หม่นหมอง มืดมน

ความรัก คือ กรรม กรรมที่ต้องเกิดมารักคนที่เค้าไม่รักเรา

ความรัก คือ ความเจ็บปวด เมื่อต้องรักคนที่ไม่เห็นคุณค่าของความรัก

ความรัก คือ ความอิจฉา อิจฉาในสิ่งอื่นที่เค้าเห็นว่ามีค่า มากกว่าเรา

ความรัก คือ ความแค้น แค้นจนอยาก จะ บอกว่า สักวันหนึ่ง คุณจะไม่เหลือคนที่รักคุณอย่างจริงใจ

ความรัก คือ พลัง บางครั้งก็ทำให้ท้อแท้หมดหวัง






"รูปแบบของความรัก"

ความรักต่อบุคคล:
ความรักต่อทายาท - รักที่พ่อแม่มีให้กับลูกผู้ซึ่งตนให้กำเนิด
ความรักต่อบุพการี - รักที่ลูกมีต่อพ่อแม่
ความรักต่อญาติพี่น้อง - รักที่มีระหว่างญาติพี่น้อง
ความรักต่อเพศตรงข้าม - รักที่อาจมีอารมณ์ และ/หรือ ความรู้สึกทางเพศมาเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ได้
ความรักต่อเพื่อน - รักที่มีระหว่างผองเพื่อน
ความรักต่อสถาบัน - รักที่ผู้รักมีต่อสถาบันที่ตนมีส่วนผูกพัน เช่น รักชาติบ้านเมือง, รักศาสนา, รักพระมหากษัตริย์, รักโรงเรียน, รักภาษาไทย ฯลฯ
ความรักต่อสิ่งต่างๆ - รักที่ผู้รักมีต่อสิ่งซึ่งตนเป็นเจ้าของหรือมีส่วนผูกพัน เช่น รักรถยนต์, รักหนังสือ, รักรถไฟ, รักเพลงคลาสสิก, รักฟุตบอล ฯลฯ
ความรักต่อตนเอง - รักที่ผู้รักมีต่อตนเอง
จากการแบ่งนี้ช่วยให้เราเห็นความแตกต่าง เช่น ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่นั้นแตกต่างจากความรักที่เรามีต่อแฟน. ความรักต่อพ่อแม่ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ความรักจึงยากต่อการวัดหรือการเปรียบเทียบ






"ความรัก "

ความรัก เป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกเกี่ยวกับ การชอบ, การผูกพันทางจิตใจกับบางสิ่งบางอย่าง คำว่ารักมีความหมายในหลายแง่มุมซึ่งทั้งลึกซึ้งและกว้างขวาง ต่างคนต่างมีความรักต่อผู้อื่นแตกต่างกัน ดังนั้นจึงยากต่อการอธิบายและให้คำนิยามคำว่ารักแบบเฉพาะเจาะจง รักเป็นความสัมพันธ์ซึ่งไม่ได้อยู่ลอยๆ หากมีรักก็จะต้องมีผู้ซึ่งเป็นฝ่ายรักและอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถูกรัก ความรักเป็นนามธรรมจึงไม่อาจมองเห็น, ไม่อาจจับต้อง ไม่อาจวัดปริมาณได้. โดยทั่วไปแล้ว ความเสียหายหรือการจากไปของสิ่งรักจะนำมาซึ่งความโศกเศร้าแก่ผู้รัก เนื่องจากผู้รักได้ให้คุณค่าแก่สิ่งนั้น อาจกล่าวได้ว่า ความโศกเศร้าจะมากหรือน้อยขึ้นกับคุณค่าที่ผู้รักกำหนดให้กับสิ่งที่ตนรักนั้น ความรักไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงมนุษย์ สัตว์ต่างๆ ก็แสดงปรากฏการณ์ทางความรักให้เห็น เช่น การปกป้องลูก
นักปราชญ์ทั่วโลกพยายามหาความหมายที่แน่นอน หรือหานิยามของคำว่าความรัก แต่ไม่มีใครสามารถหาข้อสรุปได้ว่าความรักนั้นมีนิยามเช่นไร

เทวดาที่เกี่ยวข้องกับความรัก คือ กามเทพของศาสนาฮินดู และคิวปิดในตำนานความเชื่อของกรีก

สัญลักษณ์ที่หมายถึงความรัก คือ รูปหัวใจสีแดง, การชูมือออกมา แล้วกางเฉพาะนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วก้อย ซึ่งหมายถึง ฉันรักเธอ (I Love You) นอกจากนี้บางทีดอกกุหลาบก็หมายถึงความรักด้วย

วันแห่งความรัก (วันวาเลนไทน์) คือ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ซึ่งมักจะมีการแสดงความรักโดยการให้ของขวัญหรือให้ดอกกุหลาบ โดยถือว่าดอกกุหลาบนั้นเป็นดอกไม้แห่งความรัก